ทีเส็บเดินหน้ายุทธศาสตร์ไมซ์ หนุน MSMEs ปั้น 10 MICE Cities และไมซ์สีเขียว ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

ในบริบทของการแข่งขันทางเศรษฐกิจระดับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและท้าทาย การกำหนด ทิศทางการลงทุนและการส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สอดรับกับแนวโน้มโลกและศักยภาพของประเทศ ถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนของประเทศไทย

สำนักงานส่งเสริมการจัดงานประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชนหรือ ที่เส็บ เล็งเห็นถึงความสำคัญในการเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และมุมมองเชิงนโยบาย จึงจัดกิจกรรมเสวนาพิเศษ Visionary Leaders’ Dialogue: Leading Change and Reimagining MICE in Thailand “การกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” เพื่อระดมความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ และร่วมกันกำหนดแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในช่วงระยะเวลา 3 – 5 ปีข้างหน้า

ปรับยุทธศาสตร์ Outside In – Inside Out

ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชนหรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า ปัจจุบันกรุงเทพฯ ติดอันดับเมืองจัดประชุมลำดับที่ 7 ของโลก และเป็นผู้นำด้านการประชุม โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ เช่น Medical, Wellness และ Pharmaceutical ซึ่งมีการจัดงานระดับนานาชาติมากกว่า 200 งานต่อปี อย่างไรก็ตาม ทีเส็บยังต้องการขับเคลื่อนให้เกิดการเติบโตในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ด้วย โดยมองว่างานที่จัดในประเทศไทยไม่ควรเป็นเพียงงานเพื่อคนไทยเท่านั้น แต่ต้องเป็นเวทีของอุตสาหกรรมระดับภูมิภาค เช่น กลุ่มพลังงานโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานทางเลือก ภายใต้นโยบายที่มองอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) ว่าเป็น “การท่องเที่ยวเพื่อคุณภาพ” ที่เน้นนักเดินทางซึ่งมาเพื่อเจรจาธุรกิจเป็นหลัก และก่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในภาคบริการตามมา

การผลักดันให้ไทยเป็น “Medical Hub” จึงจำเป็นต้องสร้างเวทีที่มีทั้งแนวทาง “Outside In” และ “Inside Out” โดย Outside In หมายถึงการดึงดูดนานาชาติให้เข้ามารวมตัวกันในประเทศไทย เพื่อเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรมที่แต่ละกระทรวงดูแล ขณะที่ Inside Out คือการผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยลุกขึ้นมาจัดงานเอง เพื่อเชิญชวนนานาชาติเข้าร่วม ทั้งจากภาครัฐและเอกชน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายใหม่ของทีเส็บที่เน้นความเป็นสากลมากขึ้น ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นแพลตฟอร์มกลางในการสร้างเครือข่าย การเรียนรู้ และการขยายตลาดของผู้ประกอบการทุกระดับ

เดินหน้าสนับุสนุน MSMEs เสริมฐานรากเศรษฐกิจไทย

นอกจากนี้ ทีเส็บยังร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 14 เพื่อผลักดันการค้าและการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในระดับนโยบาย ซึ่งในระยะสั้นมีแผนดำเนินการ “Quick Win” ภายใน 3–5 ปี และมองเป้าหมายระยะยาวถึงปี 2030 เพื่อตอบรับเทรนด์โลกที่มีประชากรเพิ่มขึ้นและอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยซึ่งเป็นผู้ส่งออกอาหารรายสำคัญ มีผู้ประกอบการกว่า 3 ล้านราย โดยในอุตสาหกรรมอาหารมีผู้ประกอบการ SMEs มากถึง 96% แต่กลับสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพียง 45% ของกลุ่มผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ดังนั้น จำเป็นต้องสร้างแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงตั้งแต่ระดับรากหญ้า MSMEs ไปจนถึงผู้ประกอบการขนาดกลาง เพื่อเพิ่มศักยภาพและสร้างจีดีพีให้ประเทศ

“อุตสาหกรรมไมซ์จึงถือเป็นหนึ่งใน “Quick Win” ที่มีศักยภาพมากที่สุด เพราะสามารถใช้ไมซ์เป็นกลไกเชื่อมโยงธุรกิจให้เกิดการซื้อขาย การจัดงานแสดงสินค้า และการสร้างอีเวนต์รูปแบบใหม่ โดยเฉพาะแนวโน้มโลกที่นิยมจัดงานในรูปแบบ “Festival” และ “Event-based Economy” ซึ่งไม่เพียงเน้นอุตสาหกรรมเป้าหมาย แต่ยังพิจารณามิติด้านภูมิศาสตร์ด้วย เพื่อกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค” ดร.ศุภวรรณ กล่าว

สร้าง MICE Destination 10 เมือง เชื่อมเศรษฐกิจทั่วภูมิภาค

รัฐบาลของหลายประเทศไม่ต้องการให้เกิดการกระจุกตัวในเมืองหลวง ดังนั้นทีเส็บจึงมุ่งสร้าง “MICE Destination” หรือเมืองที่มีความพร้อมในการจัดงาน ปัจจุบันมีเมืองไมซ์ที่ผ่านการประเมินแล้ว 10 เมือง ได้แก่ ภาคเหนือ: เชียงใหม่และพิษณุโลก, ภาคกลาง: กรุงเทพฯและพัทยา, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: โคราช อุดรธานี และขอนแก่น, ภาคใต้: ภูเก็ต สงขลา และสุราษฎร์ธานี

เดินหน้านโยบาย Carbon Neutral Event ปี 2569

ในปี 2569 ทีเส็บจะดำเนินนโยบายให้งานที่ได้รับการสนับสนุนต้องเป็น “Carbon Neutral Event” โดยเมื่อคำนวณปริมาณการปล่อยคาร์บอนแล้ว จะดำเนินการชดเชย (Offset) ผ่านความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง สภาอุตสาหกรรม และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) พร้อมทั้งพัฒนาแอปพลิเคชันคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์ เพื่อให้ผู้จัดงานสามารถตรวจสอบและลดการปล่อยคาร์บอนได้สะดวกยิ่งขึ้น นโยบายนี้จะครอบคลุมทั้งงานประชุมและงานเทศกาล เพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่มาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับสากล เนื่องจากลูกค้านานาชาติเริ่มให้ความสำคัญกับโรงแรมและสถานที่จัดงานที่มีนโยบาย “Green Policy” ทีเส็บจึงมุ่งสร้างมาตรฐานด้านความยั่งยืนให้ครอบคลุมทั้งสถานที่จัดงานและผู้ประกอบการ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ไทยให้ก้าวสู่เวทีโลกอย่างมั่นคง

รัฐบาลเร่งขับเคลื่อน MSMEs เสริมฐานเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่ง

นภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทีเส็บมีเป้าหมายสำคัญในการระดมสมองจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคอุตสาหกรรม การเกษตร และการท่องเที่ยว เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยสู่โลกแห่งอนาคต โดยปัจจุบันประเทศมีผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจกว่า 3.2 ล้านราย ในจำนวนนี้ 99.5% เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (MSMEs) ส่วนอีก 0.5% เป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ซึ่งแม้จะมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อย แต่กลับสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ได้ถึง 65% ขณะที่ MSMEs มีส่วนแบ่งเพียง 35%

หากเปรียบเทียบกับข้อมูลในปี 2566 MSMEs เคยมีส่วนแบ่ง GDP อยู่ที่ 35.2% แต่ในปี 2567 ลดลงเหลือ 34.9% สะท้อนให้เห็นว่ารากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเปรียบเสมือนฐานของพีระมิด ยังไม่แข็งแรงเพียงพอ หากเทียบกับประเทศที่หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง เช่น จีนที่ MSMEs มีส่วนแบ่ง GDP 60% ญี่ปุ่นกว่า 50% และสิงคโปร์ราว 48% ดังนั้น การขับเคลื่อนให้ MSMEs เติบโตและเพิ่มส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจจึงเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลให้ความสำคัญในเวลานี้

ไทยต้องเปลี่ยนสู่ Value Creation Economy ชูทีเส็บคือกลไกขับเคลื่อนใหม่

ด้าน ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)กล่าวว่า โจทย์สำคัญของประเทศไทยในวันนี้ คือแม้ประเทศจะมีพื้นฐานที่ดีมากในหลายด้าน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 20–30 ปีที่ผ่านมา ยังไม่สามารถตอบโจทย์การพัฒนาได้อย่างแท้จริง ประเทศกำลังอยู่ในภาวะ “กินบุญเก่า” เพราะการเมืองและแนวทางการบริหารยังไม่สามารถปลดปล่อยศักยภาพของประเทศออกมาได้เต็มที่ มุมมองและกระบวนทัศน์ของเรายังคงอยู่ในรูปแบบเดิม โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวที่ยังเน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ มากกว่าการสร้างคุณค่าใหม่ จุดสำคัญคือการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยจาก “Value Extraction Economy” ให้กลายเป็น “Value Creation Economy” ที่เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืน

“หากประเทศไทยสามารถวางยุทธศาสตร์และตำแหน่งของตนเองได้อย่างเหมาะสม จะสามารถใช้ศักยภาพพื้นฐานที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ “การรับรู้” ซึ่งกลายเป็นกับดักสำคัญที่ขัดขวางการพัฒนา ทีเส็บจึงไม่ควรถูกมองว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ควรถูกมองว่าเป็น “System Integrator” หรือกลไกแม่เหล็กที่เชื่อมโยงภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศเข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ หากมองทีเส็บเพียงในกรอบของการท่องเที่ยว ก็จะจำกัดศักยภาพขององค์กรและของประเทศโดยรวม ซึ่งแท้จริงแล้วทีเส็บมีบทบาทสำคัญยิ่งกว่าในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของไทย” ดร.สุวิทย์ กล่าว